ประวัติ ลาริซา ลาติยินินา นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน ราชินีเหรียญโอลิมปิก

Browse By

ประวัติ ลาริซา ลาติยินินา นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน คือเรื่องราวของผู้หญิงหนึ่งคนที่ชื่ออาจไม่ได้ถูกพูดถึงบ่อยในไทยเท่า “นาเดีย” หรือ “ซิโมน ไบลส์” แต่ถ้าเปิดพจนานุกรมคำว่า “โหดเงียบ” ในวงการโอลิมปิก ชื่อนี้ต้องติดอันดับต้น ๆ แน่นอน เธอคือเจ้าของ 18 เหรียญโอลิมปิก รวม 9 เหรียญทอง สร้างสถิติยืนหนึ่งในฐานะนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญมากที่สุดของโลกยาวนานถึง 48 ปีเต็ม ก่อนที่ไมเคิล เฟลป์สจะมาทำลายได้ในปี 2012

สำหรับสายดูกีฬา ยุคนี้เราดูได้ทุกอย่างตั้งแต่ยิมนาสติก ว่ายน้ำ ไปจนถึงฟุตบอลและบาสเกตบอลแบบสลับจอไปมา วันหนึ่งอาจนั่งดูไฮไลต์ยิมของตำนานยุคโซเวียต แล้วอีกไม่กี่นาทีก็ไปโผล่ในโลกกีฬาออนไลน์สายมันส์ผ่านแพลตฟอร์มรวมความบันเทิงอย่าง ยูฟ่าเบท ที่เป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่ของคนรักเกมกีฬา ส่วนในบทความนี้ เราจะขอพาไปโฟกัสที่ “ตัวตน” และ “เส้นทาง” ของลาริซา ลาติยินินา ว่าเธอกลายเป็นราชินีเหรียญโอลิมปิกได้ยังไง ตั้งแต่เด็กหญิงเมืองเคียร์ซอนในยูเครน ไปจนถึงสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของยิมโซเวียต


จากเด็กหญิงในเคียร์ซอน สู่ทางเดินที่ไม่ได้เริ่มจากยิม

ลาริซา เซมโยนอฟนา ลาติยินินา (Larisa Semyonovna Latynina) เกิดวันที่ 27 ธันวาคม 1934 ที่เมืองเคียร์ซอน (Kherson) ในสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน ซึ่งในยุคนั้นยังอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียตเต็มตัว

ชีวิตวัยเด็กของเธอไม่ได้สบายเลย

  • พ่อไปรบในสงครามโลกครั้งที่สองและเสียชีวิตในสมรภูมิ
  • แม่ต้องทำงานหนักทั้งกลางวันกลางคืน คอยเป็นทั้งคนหาเงินและคนเลี้ยงลูกในเวลาเดียวกัน

ที่น่าสนใจคือ เส้นทางของลาติยินินาไม่ได้เริ่มจากยิมนาสติก แต่เริ่มจาก “บัลเลต์”

เธอฝึกบัลเลต์ในเมืองเคียร์ซอนอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งครูสอนบัลเลต์ย้ายออกจากเมือง ทำให้คลาสที่เธอรักต้องหยุดลง เด็กผู้หญิงบางคนอาจเลิกฝัน แต่ลาริซาเลือก “เปลี่ยนสนาม” จากฟลอร์บัลเลต์ไปเป็นฟลอร์ยิมนาสติกแทน และนั่นคือจุดหักเหทั้งชีวิต

การมีพื้นฐานบัลเลต์มาก่อนทำให้เธอได้เปรียบมากในยิม

  • การควบคุมร่างกายดี
  • เส้นสายมือ–เท้าสวย
  • การเคลื่อนไหวมีความเป็น “การแสดง” ไม่ใช่แค่ “ทักษะกีฬา”

ทั้งหมดนี้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเธอบนเวทีระดับโลกในภายหลัง


ยุคเรียน–ซ้อม: จากเคียร์ซอนสู่เคียฟ

หลังจากเริ่มจริงจังกับยิมนาสติก ลาติยินินาได้เข้าร่วมทีมเยาวชนยูเครน และเริ่มเดินสายแข่งในระดับภายในสหภาพโซเวียต เธอเรียนจบมัธยมด้วยผลการเรียนดีมาก (ได้เหรียญทองเกียรติยศของโรงเรียน) ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่กรุงเคียฟ และเข้าศึกษาในสถาบันเทคโนโลยี (Kyiv Polytechnic Institute) พร้อมกับฝึกยิมในสโมสรนักศึกษาชื่อ Burevestnik อย่างจริงจัง

ช่วงนี้เองที่เธอเริ่มก้าวสู่การเป็นนักกีฬาระดับประเทศ

  • เข้าทีมชาตินักศึกษายูเครน
  • ลงแข่งในรายการระดับสหภาพโซเวียต
  • โค้ชและผู้บริหารทีมเริ่มเห็นว่า “คนนี้ของจริง”

หากเปรียบกับยุคนี้ ก็คือจากเด็กฝึกในยิมท้องถิ่น ขยับขึ้นมาเล่นลีกใหญ่ แล้วฟอร์มดีต่อเนื่องจนติดทีมชาติชุดใหญ่แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้


เดบิวต์โอลิมปิก: เมลเบิร์น 1956 – เปิดตัวด้วยการกวาดเหรียญ

โอลิมปิกครั้งแรกของลาติยินินาเกิดขึ้นที่เมลเบิร์น 1956 ตอนเธออายุ 21 ปีเท่านั้น แต่งานเดบิวต์ของเธอคือ “เปิดตัวแล้วปั่นยับ” ในทันที

ในโอลิมปิกเมลเบิร์น เธอทำผลงานระดับ “นางเอกเต็มเรื่อง”

  • ทอง ออลอะราวด์ (all-around) – แชมป์รวมคะแนนทุกอุปกรณ์
  • ทอง ทีมหญิง – พาทีมโซเวียตคว้าแชมป์
  • ทอง ฟลอร์
  • ทอง ยิมกลุ่ม (team portable apparatus – ประเภทกลุ่มในยุคนั้น)
  • เงิน บาร์ต่างระดับ
  • ทองแดง คานทรงตัว

สรุปคือโอลิมปิกหนแรก เธอเก็บเหรียญไป 6 เหรียญในทัวร์นาเมนต์เดียว ส่วนคนดูในยุคนั้นก็ได้รู้จักชื่อ “ลาริซา ลาติยินินา” อย่างเป็นทางการว่าไม่ใช่แค่ดาวรุ่ง แต่คือแม่ทัพตัวจริงของยิมหญิงโซเวียต


โรม 1960: ยืนยันความเป็นราชินียิม ด้วยเหรียญเพิ่มกองโต

ถ้าเมลเบิร์นคือการเปิดตัว โรม 1960 ก็คือการยืนยันว่า “ไม่ได้ดังปีเดียวแล้วหายไป”

ในโอลิมปิกกรุงโรม ลาติยินินายังคงเป็นแกนหลักของทีมโซเวียต ผลงานของเธอในครั้งนี้คือ

  • ทอง ทีมหญิง (อีกครั้ง)
  • ทอง ออลอะราวด์ (ป้องกันแชมป์)
  • ทอง ฟลอร์ (ป้องกันแชมป์อีกเช่นกัน)
  • เงิน บาร์ต่างระดับ
  • เงิน คานทรงตัว
  • ทองแดง ม้ากระโดด

ถ้าเอาแบบภาษาบ้าน ๆ คือ “ลงอุปกรณ์ไหนก็มีเหรียญกลับบ้านเกือบหมด” เธอไม่ใช่สายเฉพาะอุปกรณ์เดียว แต่เป็น all-around ที่เก่งครบทุกด้าน ทั้งความยาก ความสวยงาม และความเสถียรของคะแนน


โตเกียว 1964: โอลิมปิกครั้งที่สาม และการปิดตำนานด้วย 18 เหรียญ

โอลิมปิกครั้งที่สามของลาติยินินาเกิดขึ้นที่โตเกียว 1964 ซึ่งถือเป็นช่วงปลายอาชีพนักกีฬาของเธอแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ปล่อยบัลลังก์ง่าย ๆ

แม้ในออลอะราวด์ เธอจะถูก เวรา ชาสลาฟสกา (Věra Čáslavská) จากเช็กโกสโลวาเกีย ขึ้นมาแย่งตำแหน่งแชมป์ไป แต่ลาติยินินาก็ยังเก็บเหรียญเพิ่มแบบจุก ๆ

  • ทอง ทีมหญิง (สามสมัยติด)
  • ทอง ฟลอร์ (สามสมัยติด)
  • เงิน บาร์ต่างระดับ
  • ทองแดง ม้ากระโดด
  • ทองแดง คานทรงตัว

เมื่อรวมเหรียญโอลิมปิกจาก 3 สมัย (1956, 1960, 1964) เธอจบอาชีพในฐานะนักกีฬาด้วยสถิติ

  • รวม 18 เหรียญโอลิมปิก
    • 9 เหรียญทอง
    • 5 เหรียญเงิน
    • 4 เหรียญทองแดง

ตัวเลขนี้ยืนหนึ่งเป็นสถิติโลกยาวนานถึง 48 ปี ไม่ว่าโอลิมปิกจะจัดเพิ่มอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีใครแตะจำนวนเหรียญรวมของเธอได้ จนกระทั่งไมเคิล เฟลป์ส นักว่ายน้ำสหรัฐ ทำลายสถิตินี้ในปี 2012 แต่ทุกคนก็ยังยอมรับว่าลาติยินินาคือ “เจ้าหญิงเหรียญโอลิมปิก” ของยิมนาสติกหญิงอยู่ดี


สถิติระดับตำนาน ที่ยังยืนหยัดถึงยุคปารีส 2024

แม้สถิติเหรียญรวมจะถูกเฟลป์สแซงไปแล้ว แต่ลาติยินินายังถืออีกหนึ่งบัลลังก์สำคัญมาจนถึงยุคปัจจุบัน นั่นคือ

  • ผู้หญิงที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกมากที่สุด 9 เหรียญ (แชร์ตำแหน่งร่วมกับนักว่ายน้ำสาว เคธี เลเดคกี ที่คว้าเหรียญทองที่ 9 ในโอลิมปิกปารีส 2024)

ในเชิงประวัติศาสตร์ เธอคือ

  • นักกีฬาหญิงคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ถึง 9 เหรียญ
  • นักกีฬายิมหญิงที่ได้เหรียญโอลิมปิกมากที่สุดตลอดกาล (18 เหรียญ)
  • คนที่ช่วยผลักดันให้ “ทีมยิมโซเวียต” กลายเป็นจักรวรรดิยิมนาสติกในสายตาทั้งโลกในยุคสงครามเย็น

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าจะทำลิสต์ “บอสใหญ่ของวงการโอลิมปิก” ลาติยินินาต้องติดอยู่บน ๆ แบบไม่ต้องสงสัย

ในมุมของแฟนกีฬา ยุคนี้เราสามารถนั่งย้อนดูการแข่งขันสมัยเมลเบิร์น–โรม–โตเกียว ผ่านคลิปเก่าบนออนไลน์ แล้วอีกแป๊บหนึ่งก็เปลี่ยนจอไปดูบอลนัดชิง หรือเปิดแพลตฟอร์มสายกีฬาอย่าง ทางเข้า UFABET ล่าสุด เพื่อเช็กตารางแข่งหรือเพิ่มสีสันระหว่างทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ๆ ได้แบบไม่หลุดจากโหมด “คนคลั่งกีฬา” เลย


ความสม่ำเสมอที่หาได้ยาก: 3 โอลิมปิกติด เหรียญแทบทุกอีเวนต์

สิ่งที่ทำให้ลาติยินินาโดดเด่นกว่าหลายคน ไม่ใช่แค่จำนวนเหรียญ แต่คือ “ความสม่ำเสมอที่เกินมนุษย์”

ลองนึกภาพว่า

  • เธอลงแข่งโอลิมปิก 3 ครั้ง (1956, 1960, 1964)
  • ในทุกครั้ง เธอเกือบจะมีเหรียญในทุกชนิดอุปกรณ์ที่เข้าร่วม
  • ยกเว้นบีม (คานทรงตัว) ในปี 1956 ที่จบอันดับ 4 แค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ไม่มีเหรียญจากอีเวนต์ที่ลงแข่ง

นั่นหมายความว่า เธอไม่ได้เป็น “สเปเชียลลิสต์” แต่อย่างเดียว แต่คือ all-around ตัวจริง ในวันที่ยิมนาสติกยังใช้กติกาเก่าและการแข่งขันยาวเหนื่อยมากกว่ายุคใหม่


หลังแขวนมือ: จากนักกีฬา สู่โค้ชและผู้อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่

หลังจากรีไทร์จากเวทีแข่งขันช่วงกลางทศวรรษ 1960 ลาติยินินาไม่ได้หายไปจากวงการยิม เธอผันตัวมาทำหน้าที่โค้ชและผู้จัดการทีมชาติยิมนาสติกหญิงของสหภาพโซเวียตในช่วงปลายยุค 60 ถึงกลางยุค 70

ในช่วงที่เธอมีบทบาทเบื้องหลัง ทีมโซเวียตยังคงกวาดเหรียญโจมตีเวทีโลกไม่หยุด ทั้งในโอลิมปิกและชิงแชมป์โลก ทำให้หลายคนมองว่า “เธอไม่ได้แค่สร้างยุคทองในฐานะนักกีฬา แต่ยังต่ออายุยุคทองนั้นในฐานะโค้ชและผู้วางระบบทีม”

สำหรับนักกีฬารุ่นหลัง การมีโค้ชที่เคยผ่านทุกอย่างมาแล้วในระดับสูงสุด เป็นทั้งแรงกดดันและแรงผลักในเวลาเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่วยรักษามาตรฐานความโหดของทีมโซเวียตในยุคนั้นได้อย่างต่อเนื่อง


สไตล์ยิมของลาติยินินา: ไม่ได้หวือหวาแบบยุคใหม่ แต่โคตร “เนี้ยบ”

ถ้าเทียบกับยิมนาสติกยุคปัจจุบัน ที่มีท่าหมุน 3 ตลบ 4 ตลบกลางอากาศ ท่าเสี่ยงจังหวะเดียวพลาดคือเจ็บหนัก ลาติยินินาในยุค 50–60 อาจดู “ไม่หวือหวา” เท่าตามสายตาคนยุคนี้

แต่สิ่งที่เธอชนะขาดคือ

  • ความสมดุลของ “ความยาก” กับ “ความเนี้ยบ”
  • การเคลื่อนไหวที่มีรากจากบัลเลต์ ทำให้ฟลอร์ของเธอดูเป็นทั้งกีฬาและศิลปะในเวลาเดียวกัน
  • ความนิ่งในการแข่งขันรอบชิง ที่แทบไม่ค่อยเห็นเธอพลาดหนัก ๆ

ในยุคที่ระบบหักคะแนนเน้น “ความสะอาดของท่า” มาก ๆ เธอเลยโดดเด่นสุด ๆ และกลายเป็นมาตรฐานที่โค้ชหลายคนใช้เทียบเวลาสอนเด็กยุคหลังว่า

“ดูเอาไว้นะว่าเส้นมือ เส้นเท้า การยืน การลงพื้นควรจะเนียนประมาณไหน”


มองยิมยุคใหม่ด้วยความทึ่งและ “แอบกลัวให้เด็ก ๆ”

แม้อายุขึ้นเลข 8 เลข 9 แล้ว ลาติยินินายังตามดูยิมนาสติกยุคใหม่อยู่เสมอ โดยเฉพาะผลงานของรุ่นหลานอย่างซิโมน ไบลส์ ที่ดันเพดานความยากไปอีกขั้น

เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า เวลาดูยิมยุคใหม่ ทั้งรู้สึก “ทึ่ง” และ “แอบกลัว” ไปพร้อมกัน เพราะท่าหลายอย่างเสี่ยงมาก ถ้าพลาดนิดเดียวอาจเจ็บหนักได้ แต่ก็ยอมรับว่าพัฒนาการของวงการกีฬาทำให้เธอเองยังต้องอ้าปากค้างกับสิ่งที่นักยิมยุคนี้ทำได้

ในอีกมุมหนึ่ง การที่ตำนานยุค 50–60 ยังตามดูและพูดถึงยิมยุค 2020+ ด้วยความสนใจ แสดงให้เห็นว่า “กีฬาไม่เคยหยุดพัฒนา” และแต่ละเจนก็มีความยิ่งใหญ่ของตัวเอง


ความหมายของลาติยินินาในสายตาแฟนกีฬา

สำหรับคนที่อินกับตัวเลข ลาติยินินาคือ

  • สถิติเหรียญโอลิมปิก 18 เหรียญ
  • เหรียญทอง 9 เหรียญ
  • การครองตำแหน่ง “นักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญมากที่สุด” นานเกือบครึ่งศตวรรษ

แต่สำหรับคนที่อินกับ “เรื่องราว”

  • เธอคือเด็กหญิงที่เติบโตจากเมืองเล็ก ๆ ในยูเครน ท่ามกลางบาดแผลสงคราม
  • คือคนที่ชีวิตไม่ได้เริ่มจากยิม แต่จากบัลเลต์ แล้วเอาทักษะนั้นมาสร้างสไตล์เฉพาะตัวบนฟลอร์ยิม
  • คือผู้หญิงที่อยู่บนจุดสูงสุดในยุคที่โลกกีฬาถูกใช้เป็นเวทีแข่งอำนาจระหว่างประเทศ

ในยุคที่เรานั่งเชียร์กีฬาโอลิมปิกผ่านหน้าจอมือถือ สลับไปดูไฮไลต์ยิม–ว่ายน้ำ–ฟุตบอล–บาส หรือแวะเข้าเว็บสายกีฬาอย่าง สมัคร UFABET เพื่อหามุมบันเทิงเล็ก ๆ เพิ่มระหว่างรอแมตช์สำคัญ เรื่องของลาติยินินาก็ยังเป็นเหมือน “ตำนานพื้นฐาน” ที่ทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมวันนี้ยิมนาสติกถึงยิ่งใหญ่และได้รับความสนใจทั่วโลกแบบนี้


ประวัติ ลาริซา ลาติยินินา นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน กับคำว่า “ยืนหนึ่งนาน ๆ”

เมื่อมองย้อนกลับไปทั้งชีวิตและผลงาน เราจะเห็นว่า ประวัติ ลาริซา ลาติยินินา นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน ไม่ได้เป็นแค่ลิสต์เหรียญโอลิมปิกสวย ๆ บนกระดาษ แต่คือเรื่องราวของเด็กหญิงที่เริ่มจากศูนย์ในเมืองเล็ก ๆ ผ่านสงคราม สูญเสียพ่อ ตั้งต้นใหม่ด้วยบัลเลต์ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนทุกประสบการณ์ในชีวิตให้กลายเป็นท่วงท่าบนฟลอร์ยิมนาสติก

เธอทำในสิ่งที่แทบไม่มีใครกล้าคิดในยุคนั้น

  • คว้า 18 เหรียญโอลิมปิก
  • เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ทองโอลิมปิก 9 เหรียญ
  • ยืนอยู่บนยอดของโลกยิมนาสติกทั้งในฐานะนักกีฬาและโค้ช

เราในวันนี้อาจไม่ได้ต้องไปหมุนตัวกลางอากาศเหมือนเธอ แต่สิ่งที่หยิบมาจากเรื่องของลาติยินินาได้คือ

  • ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าความปังครั้งเดียว
  • พื้นฐานที่ดี (ไม่ว่าจะจากบัลเลต์หรือจากอะไรก็แล้วแต่) ถ้าใช้ให้เป็น จะกลายเป็นจุดเด่นของเรา
  • การยืนหนึ่งไม่จำเป็นต้องดังที่สุดในทุกวัน แต่อยู่ที่ว่าเรารักษามาตรฐานของตัวเองได้นานแค่ไหน

ไม่ว่าเราจะเป็นสายเล่นกีฬา สายดูกีฬา หรือสายเชียร์กีฬาออนไลน์ที่ชอบเปิดจอดูไป–สลับเล่นมือถือไป โลกของลาริซา ลาติยินินาก็เตือนเราว่า “ตำนานไม่ได้เกิดจากโชค แต่มาจากวันที่เรายังเลือกจะพยายามต่อ ทั้งที่เหนื่อยและอาจไม่มีใครเห็น”

และในวันที่เราเงยหน้าจากหน้าจอ หยุดดูสกอร์หรือไฮไลต์สักพัก แล้วถามตัวเองเบา ๆ ว่า “เรากำลังสร้างเหรียญเล็ก ๆ ของตัวเองในชีวิตอยู่หรือเปล่า” บางทีคำตอบอาจทำให้เรายิ้มได้เหมือนกัน ว่าอย่างน้อยวันนี้เราก็ขยับเข้าใกล้ความฝันของตัวเองไปอีกนิดหนึ่งแล้ว 🌟🤸‍♀️