ประวัติ โคเฮอิ อุจิมูระ นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน คือเส้นทางของเด็กผู้ชายตัวไม่ใหญ่มากจากเมืองคิตะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ที่เติบโตมากับกลิ่นยางเบาะและเสียงกระแทกฟลอร์ในยิมของพ่อแม่ ก่อนจะค่อย ๆ ไต่ระดับจากเด็กฝึกซ้อมธรรมดาไปเป็น “ราชายิมนาสติกออลอะราวด์” เจ้าของเหรียญโอลิมปิก 7 เหรียญ และเหรียญจากชิงแชมป์โลกถึง 21 เหรียญ พร้อมสถิติแชมป์โลกออลอะราวด์ 6 สมัยติด ที่แฟนยิมทั่วโลกยกให้เป็นหนึ่งในนักยิมที่เก่งที่สุดตลอดกาลของประวัติศาสตร์กีฬาโลก

ยุคที่เราเชียร์กีฬาไม่ใช่แค่หน้าทีวี แต่ตามไฮไลต์ คลิปสั้น และสถิติต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ ทำให้ชื่อของโคเฮอิถูกพูดถึงไม่แพ้นักกีฬาระดับตำนานกีฬาอื่น ๆ แถมแฟนกีฬาไม่น้อยก็ใช้เวลาหลังเลิกงานหรือหลังซ้อม เข้าไปเสพคอนเทนต์กีฬา–ผลบอล–ตารางแข่ง–ความบันเทิงครบวงจรผ่านเว็บต่าง ๆ ที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว คล้าย ๆ เวลาเราจะแวะเข้าไปดูมุมสนุกของสายลูกหนังและกีฬาออนไลน์ผ่านลิงก์อย่าง สมัคร UFABET ที่กลายเป็นศูนย์รวมคนรักเกมกีฬาอีกโลกหนึ่ง ส่วนในบทความนี้ เราจะพาไปตามรอยชีวิตโคเฮอิแบบเต็ม ๆ ว่าเขาเดินจากยิมเล็ก ๆ ในญี่ปุ่น ไปสู่คำว่า GOAT แห่งยิมนาสติกชายได้ยังไง
วัยเด็กใน “บ้านคือยิม” – จุดเริ่มต้นของราชายิมคนนี้
โคเฮอิ อุจิมูระ เกิดเมื่อปี 1989 ที่เมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะ ครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นสายธรรมดา เพราะพ่อ–แม่เป็นอดีตนักยิมนาสติกและเปิดยิมเล็ก ๆ ของตัวเอง เด็กคนอื่นอาจโตมากับสนามเด็กเล่น แต่โลกของโคเฮอิคือบาร์ คาน ฟลอร์ และเบาะนุ่ม ๆ ตั้งแต่ยังเดินเตาะแตะ
หลายคนบอกว่าที่เขากลายเป็น “ราชายิม” ได้ ไม่ได้มีแค่พรสวรรค์ แต่เพราะโตมากับสิ่งแวดล้อมที่ให้เขา “เล่นยิม” ตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน
- ตอนเด็ก ๆ โคเฮอิไม่ได้ถูกยัดให้ซ้อมหนัก แต่ถูกปล่อยให้เล่นกับอุปกรณ์ต่าง ๆ
- ความคุ้นเคยกับการหมุนตัว พลิกตัว กลิ้งไปมาบนเบาะ ทำให้สมอง–ร่างกายของเขาเรียนรู้บาลานซ์อย่างเป็นธรรมชาติ
- เมื่อถึงวัยเริ่มซ้อมจริงจัง เขาเลยมี “ฐานความรู้สึกของร่างกาย” (body awareness) ที่ดีมากอยู่แล้ว
บ้านที่เป็นยิมแบบนี้ ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “เล่น” กับ “ซ้อม” ของโคเฮอิบางกว่าคนอื่น ช่วงวัยเด็ก เขาเลยสนุกกับยิมมากกว่าจะรู้สึกว่ากำลังถูกบังคับให้เป็นนักกีฬา
จากเยาวชนญี่ปุ่น สู่การแจ้งเกิดบนเวทีโลก
โคเฮอิเข้าสู่ระบบแข่งขันระดับเยาวชนของญี่ปุ่นตั้งแต่อายุยังไม่ถึงวัยมัธยม แต่จุดเริ่มต้นในระดับทีมชาติชุดใหญ่คือราวปี 2007 ที่เขาถูกเรียกติดทีมชาติญี่ปุ่นอย่างจริงจัง และเริ่มไปเก็บประสบการณ์ในรายการนานาชาติทั้งเวิลด์คัพและยูนิเวอร์ซิเอด
ช่วงแรก เขายังไม่ใช่ “ราชา” ทันที แต่คือดาวรุ่งที่คนในวงการเริ่มจับตามอง เพราะ
- รูปร่างเพรียวสมดุล ทำให้การเคลื่อนไหวดูสวย
- การผสมผสานความยากของท่าเข้ากับความเนี้ยบของการลงพื้น
- ความนิ่งของหน้าและสายตาเวลาลงแข่ง ที่ดูแก่เกินวัย
ปี 2008 ถือเป็นปีที่ชื่อ “Uchimura” เริ่มดังขึ้นมาชัด ๆ เมื่อเขาถูกเลือกเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชาติญี่ปุ่น ชุดลุยโอลิมปิกปักกิ่ง 2008 และคว้าเหรียญเงินออลอะราวด์ได้ตั้งแต่วัย 19 ปี แถมยังช่วยพาทีมญี่ปุ่นคว้าเหรียญเงินทีมชายอีกด้วย
เหรียญเงินนั้นสำคัญมาก เพราะมันเหมือนประกาศให้ทั้งโลกได้รู้ว่า “ยุคใหม่ของยิมชายญี่ปุ่นกำลังมา และผู้นำชื่อว่า โคเฮอิ อุจิมูระ”
สไตล์ยิมของโคเฮอิ: ผสมความยาก + ความเนี้ยบ + ความสง่างาม
ถ้าให้แฟนยิมอธิบายโคเฮอิในคำไม่กี่คำ หลายคนน่าจะใช้คำประมาณว่า
“ยากก็ได้ เนี้ยบก็ได้ และยังสวยอีกต่างหาก”
สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือ
- ความยากของท่า (Difficulty) – เขาใส่ท่ายากหลายตัวทั้งบนฟลอร์ บาร์ และม้ากระโดด
- ความเนี้ยบ (Execution) – แม้ท่าจะยาก แต่การลงพื้น การควบคุมร่างกายกลางอากาศ ทำได้เนียนจนแทบหาจุดหักคะแนนยาก
- ความสง่างาม (Elegance) – การเหยียดแขน ขา ลำตัว ทุกอย่างดูเป็นเส้นสวยงาม ไม่ใช่แค่ “หมุนให้ครบแล้วลงพื้น”
นิตยสารด้านยิมนาสติกหลายเจ้าเคยชมว่า เขาคือการผสมกันระหว่าง “พลังระดับซูเปอร์แมน” กับ “ศิลปะการเคลื่อนไหวที่เนี้ยบและสง่างาม” โดยมีจุดเด่นในอุปกรณ์อย่างฟลอร์ ม้ากระโดด บาร์คู่ และบาร์เดี่ยวเป็นพิเศษ
ยุคทอง: ครองโลกออลอะราวด์ 2009–2015
ช่วงปี 2009–2015 คือยุคที่ชื่อ “Kohei Uchimura” กลายเป็นคำตอบแบบไม่ต้องคิดของตำแหน่ง “แชมป์โลกออลอะราวด์” เพราะเขาเหมาแชมป์รายการนี้ไป 6 สมัยติดต่อกัน ในศึกชิงแชมป์โลกยิมนาสติกศิลป์ชาย
ไฮไลต์หลัก ๆ เช่น
- ชิงแชมป์โลก 2009 (ลอนดอน) – คว้าแชมป์ออลอะราวด์ครั้งแรก ทิ้งคู่แข่งแบบมีระยะห่างชัดเจน
- ชิงแชมป์โลก 2010 (รอตเทอร์ดาม) – ป้องกันแชมป์สำเร็จ พร้อมช่วยทีมญี่ปุ่นคว้าเหรียญเงินทีม
- ชิงแชมป์โลก 2011 (โตเกียว) – แชมป์ออลอะราวด์สมัยที่ 3 ที่บ้านตัวเอง แถมยังได้เหรียญในอุปกรณ์อื่นอีกหลายเหรียญ
- ชิงแชมป์โลก 2013–2015 – กวาดออลอะราวด์อีก 3 สมัยติด รวมเป็น 6 สมัยรวด สร้างสถิติที่ยากมากจะมีใครทำลาย
ความโหดคือ ในแต่ละปีช่องว่างคะแนนระหว่างเขากับคนที่ตามมา ไม่ใช่แค่เสี้ยวเล็กน้อย แต่มักเป็น “ช่องไฟ” ระดับที่คนดูเห็นชัดว่า เขาอยู่ในอีกเลเวลของเกมนี้ไปแล้ว
ช่วงเดียวกันนี้เอง เขายังเก็บเหรียญอุปกรณ์ (event finals) เพิ่มไปเรื่อย ๆ จนยอดรวมเหรียญโลกสะสมไปถึง 21 เหรียญ กลายเป็นหนึ่งในนักยิมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเวทีชิงแชมป์โลกตลอดกาล
ลอนดอน 2012: คว้าทองออลอะราวด์ครั้งแรกในโอลิมปิก
หลังจากได้เหรียญเงินออลอะราวด์ในปักกิ่ง 2008 ลอนดอน 2012 คือภารกิจใหญ่ของโคเฮอิในการ “ปิดจ็อบ” เป้าหมายเหรียญทองโอลิมปิก
แม้รอบคัดเลือกเขาจะพลาดหลายจุด คะแนนรวมออกมาไม่สวยนัก จนหลายคนเริ่มกังวล แต่พอเข้ารอบชิงออลอะราวด์ตัวจริง โคเฮอิปล่อยของเต็มที่
- เขาโชว์ฟลอร์ที่ทั้งยากและลงพื้นเนี้ยบ
- บาร์เดี่ยวและบาร์คู่ทำคะแนนดี
- การกระโดดม้ากระโดดที่สูงและมั่นคง
สุดท้ายเขาปิดการแข่งขันด้วยคะแนนรวมที่ทิ้งคู่แข่ง และคว้าเหรียญทองออลอะราวด์โอลิมปิกครั้งแรกได้สำเร็จ พร้อมกับเหรียญเงินทีมชายให้ญี่ปุ่นอีกหนึ่งเหรียญ และเหรียญเงินฟลอร์อีกหนึ่งเหรียญในทัวร์นาเมนต์เดียวกัน
ลอนดอน 2012 เลยถูกมองว่าเป็นเวทีที่ทำให้ “ราชาออลอะราวด์” จากเวทีชิงแชมป์โลก กลายเป็น “ราชาโอลิมปิก” อย่างสมบูรณ์
ริโอ 2016: ยืนยันความเป็นราชา ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถ้าลอนดอนคือการประกาศตัว ริโอ 2016 ก็คือการยืนยันว่า “ผมไม่ได้เก่งปีเดียวแล้วหายไปนะครับ”
ในริโอ โคเฮอิทำสิ่งที่แทบไม่มีใครเคยทำได้มาก่อนในยุคสมัยใหม่ คือ
- พาทีมชาติญี่ปุ่นคว้าเหรียญทองทีมชายได้สำเร็จ เป็นการทวงบัลลังก์กลับคืนหลังทีมญี่ปุ่นเคยครองยุคในอดีตยาวนาน
- ป้องกันเหรียญทองออลอะราวด์โอลิมปิกได้อีกสมัย กลายเป็นนักยิมชายคนแรกในรอบกว่า 40 ปีที่คว้าทองออลอะราวด์โอลิมปิกสองครั้งติด (คนก่อนหน้าก็คือรุ่นพี่ร่วมชาติ ซาวาโอะ คาโตะ)
ที่ดราม่าคือในออลอะราวด์ เขาต้องสู้กับคู่แข่งสำคัญจากยูเครนอย่าง Oleg Verniaiev จนถึงอุปกรณ์สุดท้าย คะแนนต่างกันแค่เสี้ยว แต่โคเฮอิเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า ชนะไปด้วยช่องว่างเพียง 0.099 คะแนนเท่านั้น
ริโอ 2016 เลยไม่ใช่แค่การเพิ่มเหรียญในตู้ แต่คือการตอกย้ำว่า ช่วงเวลา 8 ปีเต็ม ตั้งแต่ปักกิ่ง–ลอนดอน–ริโอ เขาอยู่บนยอดพีระมิดของโลกยิมแบบแทบไม่มีใครแตะได้
ปลายอาชีพ: อาการบาดเจ็บ โตเกียว 2020 และการอำลาที่บ้านเกิด
เมื่ออายุมากขึ้น ความโหดของยิมนาสติกก็เริ่มทวงคืน โคเฮอิเริ่มเผชิญกับอาการบาดเจ็บหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณไหล่และข้อเท้า ทำให้หลังปี 2016 เขาลดการแข่งออลอะราวด์ลง และเริ่มโฟกัสอุปกรณ์เฉพาะทางมากขึ้น
โตเกียว 2020 ซึ่งจัดจริงในปี 2021 ถูกมองว่าเป็น “เวทีลา” ของเขาในฐานะเจ้าภาพ เจ้าตัวเลือกลงแข่งเฉพาะบาร์เดี่ยว (horizontal bar) ในฐานะสเปเชียลลิสต์
แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามฝัน – เขาพลาดตกบาร์ในรอบคัดเลือกและไม่ผ่านเข้ารอบชิง ช่วงเวลานั้นทั้งสนามเงียบกริบ เพราะทุกคนอยากเห็นตำนานคนนี้ปิดฉากสวย ๆ ที่บ้านเกิด
แม้จะไม่ได้เหรียญ แต่ภาพของโคเฮอิที่โค้งคำนับแฟน ๆ ในยิม โตเกียว พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก็กลายเป็นโมเมนต์ที่บอกเราว่า
“ตำนานไม่จำเป็นต้องจบด้วยเหรียญ แต่จบด้วยความเคารพที่ทุกคนมีให้เขา”
ต้นปี 2022 เขาประกาศรีไทร์อย่างเป็นทางการ ปิดฉากเส้นทางทีมชาติที่ยาวตั้งแต่ปี 2007 ด้วยสถิติระดับเทพ: 7 เหรียญโอลิมปิก และ 21 เหรียญชิงแชมป์โลก รวมถึงเป็นคนแรกที่ “เก็บแชมป์ออลอะราวด์ทุกรายการใหญ่ในหนึ่งโอลิมปิกไซเคิล” ได้สองครั้งติดเต็ม
ตัวเลขและสถิติที่ทำให้เขากลายเป็นตำนาน
ลองสรุปแบบกระชับ ๆ ว่าทำไมโคเฮอิถูกเรียกว่า “ราชายิมนาสติกออลอะราวด์”
- เหรียญโอลิมปิก 7 เหรียญ
- ทอง 3
- เงิน 4 (ทั้งทีมและออลอะราวด์/อุปกรณ์)
- เหรียญจากชิงแชมป์โลก 21 เหรียญ
- แชมป์โลกออลอะราวด์ 6 สมัยติด (2009–2015) – สถิติที่แทบจะไม่มีใครกล้าคิดว่าจะทำได้แบบนี้อีก
- โหดสุดคือ “ควบทุกแชมป์ในหนึ่งไซเคิล”
เขาเป็นคนแรกที่เก็บครบทั้ง- แชมป์โลกออลอะราวด์ต่อเนื่อง
- แชมป์โอลิมปิกออลอะราวด์
ในหนึ่งช่วง 4 ปีเต็มได้ครบชุด และยังทำสำเร็จซ้ำถึงสองรอบติด
ในขณะที่แฟนยิมทั้งโลกเถียงกันเรื่องว่าใครคือ “GOAT” ของยิมชาย ชื่อของโคเฮอิคือหนึ่งในตัวเลือกที่แทบไม่มีใครกล้าเถียงออกสื่อ
ด้านหนึ่งเขาคือไอดอลของนักยิมรุ่นใหม่ เช่น ไดกิ ฮาชิโมโตะ ดาวรุ่งญี่ปุ่นอีกคนที่คว้าแชมป์โลกและโอลิมปิกออลอะราวด์ในยุคถัดมา และมักถูกนำไปเปรียบเทียบว่า “จะเดินตามรอย King Kohei ได้แค่ไหน
บุคลิกในและนอกยิม: เงียบ สุภาพ แต่โหดในสมรภูมิ
นอกเหนือจากท่าทางในสนาม สิ่งที่แฟน ๆ รักโคเฮอิคือบุคลิกส่วนตัว
- เขาไม่ได้เป็นคนพูดเยอะหรือตะโกนปลุกใคร แต่มีความนิ่ง สุภาพ และถ่อมตัว
- เวลาให้สัมภาษณ์มักย้ำว่าตัวเอง “ยังไม่สมบูรณ์แบบ” และยังมีจุดให้พัฒนาตลอด
- เขาเคยบอกว่า จุดแข็งของตัวเองคือ “แม้จะแพ้ก็ยังรักษาความคิดเชิงบวกเอาไว้ได้เสมอ” ซึ่งเป็น Mindset สำคัญของการเป็นแชมป์ระยะยาว
ภาพจำของแฟนยิม คือการเห็นเขายืนเฉย ๆ รอคะแนนบนสกอร์บอร์ดแบบหน้าสงบมาก ไม่แสดงอาการตื่นเต้นเกินเหตุ แต่พอคะแนนขึ้นสูงก็ยิ้มบาง ๆ กำหมัดเบา ๆ เท่านั้น
นั่นทำให้เขาไม่ใช่แค่เก่งในฐานะนักกีฬา แต่ดูมี “เสน่ห์ของมืออาชีพ” ที่ควบคุมอารมณ์และโฟกัสได้ดีตลอดเวลา
ความหมายของโคเฮอิในวงการยิมนาสติกโลก
ผลกระทบของโคเฮอิในวงการยิมไม่ได้หยุดแค่เหรียญหรือสถิติ
- ยกระดับมาตรฐานออลอะราวด์ชาย
ก่อนยุคของเขา แชมป์ออลอะราวด์อาจมาจากคนที่ “ทำได้ดีทุกอุปกรณ์” แต่ไม่จำเป็นต้องโดดเด่นมากทุกชิ้น แต่โคเฮอิพาเกมไปอีกขั้น เพราะเขา “แข็งมากแทบทุกชนิด” และยังรักษามาตรฐานสูงได้ทุกปี - เปลี่ยนภาพยิมชายให้มีความสวยงามมากขึ้น
เขาแสดงให้เห็นว่า ยิมชายไม่ได้มีดีแค่พลังและท่ายาก แต่ยังสามารถผสมกับความอ่อนช้อย การเหยียดท่าทาง และความสง่างามได้ - เป็นสะพานเชื่อมยุคเก่ากับยุคใหม่
เขาเติบโตหลังยุคทองของทีมญี่ปุ่นชุดเก่า แต่ใช้ฝีมือของตัวเองพาญี่ปุ่นกลับสู่แถวหน้า พร้อมส่งไม้ต่อให้รุ่นน้องอย่างฮาชิโมโตะเดินต่อ
แฟนกีฬา ยุคสตรีม และการตามรอยตำนาน
ในยุคนี้ แฟนกีฬาไม่ได้ดูยิมเฉพาะช่วงโอลิมปิก แต่ตามไฮไลต์ในโซเชียล ดูคลิปสั้นท่าสวย ๆ ระหว่างพักงาน หรือระหว่างดูการแข่งขันกีฬาประเภทอื่นอย่างฟุตบอล บาสเกตบอล หรือมวย
หลายคนอาจมีชีวิตวนอยู่ระหว่าง
- ช่วงเวลาที่ใช้พลังไปกับการทำงาน/เรียน
- ช่วงเวลาที่ใช้ยิมหรือกีฬาอื่นดูแลตัวเอง
- ช่วงเวลาคลายเครียดด้วยความบันเทิงสายกีฬาในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะตามสถิติ เช็กผลบอล หรือลองลุ้นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านแพลตฟอร์มที่รวมทุกอย่างไว้ในเว็บเดียว เช่นเวลาที่เราเข้าไปเช็กมุมสนุกของสายกีฬาใน ทางเข้า UFABET ล่าสุด แล้วค่อยกลับมาดูไฮไลต์ยิมของโคเฮอิต่อ
สำหรับเด็กที่เริ่มเล่นยิมในยุคนี้ โคเฮอิคือหนึ่งในคลิปที่โค้ชมักเปิดให้ดูด้วยเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า
“นี่คือมาตรฐานของคำว่า ทั้งยาก ทั้งเนี้ยบ ทั้งสวย”
ส่วนสำหรับคนที่ไม่ได้เล่นยิม แต่ชอบดูกีฬา เขาก็คือหนึ่งใน “ชื่อที่เราควรเคยได้ยินสักครั้ง” เวลามีคนพูดถึงนักกีฬาที่ถูกจัดอยู่ในระดับ GOAT
บทเรียนจากโคเฮอิที่ใช้ได้กับชีวิตเรา
ถ้าเราดึงแก่นของเรื่องราวในประวัติ โคเฮอิ อุจิมูระ นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน ออกมาเป็นบทเรียนสั้น ๆ ที่คนธรรมดาอย่างเราเอาไปใช้ได้ อาจมีประมาณนี้
- ความเก่งไม่ใช่เรื่องของวันเดียว แต่คือการวางตัวในระยะยาว
เขาไม่ได้ดังเพราะปีแจ้งเกิดปีเดียว แต่รักษาระดับท็อปของโลกนานเกือบสิบปีเต็ม - การแพ้ในวันนี้ ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ใช่แชมป์ในวันข้างหน้า
ปักกิ่ง 2008 เขาได้แค่เงินในออลอะราวด์ แต่ใช้มันเป็นเชื้อเพลิงไปสู่ทองโอลิมปิกในลอนดอนและริโอ - รักษาความคิดบวกแม้วันที่ผลลัพธ์ไม่ตามหวัง
จากคำพูดของเขาเองที่บอกว่า “แม้จะแพ้ ผมก็ยังคิดบวกได้เสมอ นั่นคือจุดแข็งของผม” มันคือ Mindset ที่ช่วยให้เขากลับมาได้ตลอด - รู้จักยอมรับร่างกายตัวเองในช่วงปลายอาชีพ
แทนที่จะฝืนแข่งออลอะราวด์ทั้งที่บาดเจ็บ เขาเลือกปรับบทบาทตัวเองให้เหมาะกับสภาพร่างกาย และยอมรับวันที่ต้องก้าวลงจากเวทีใหญ่ด้วยรอยยิ้ม
สำหรับเราในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะทำงาน เล่นกีฬา หรือวิ่งตามเป้าหมายอะไรบางอย่าง แค่จำไว้ว่าความสำเร็จที่ยั่งยืน มักเกิดจาก “การโฟกัสกับพื้นฐานให้ดี” และ “ไม่ทิ้งความสม่ำเสมอ” เหมือนที่โคเฮอิซ้อมท่าซ้ำ ๆ จนทุกการลงพื้นดูง่ายทั้งที่จริงมันยากมาก
ประวัติ โคเฮอิ อุจิมูระ นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน ในหัวใจแฟนกีฬา
เมื่อเรามองภาพรวมทั้งชีวิตและอาชีพของเขา จะเห็นว่า ประวัติ โคเฮอิ อุจิมูระ นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน ไม่ใช่แค่ลิสต์เหรียญหรือบันทึกสถิติ แต่คือเรื่องของเด็กชายที่เติบโตในยิมเล็ก ๆ ของครอบครัว ใช้เวลานับไม่ถ้วนบนเบาะฝึกซ้อม ค่อย ๆ ไต่อันดับจากระดับชาติสู่ระดับโลก ผ่านทั้งวันที่ยืนสูงสุดบนโพเดียม และวันที่พลาดตกบาร์ต่อหน้าคนทั้งโลก แต่ยังยิ้มและโค้งขอบคุณแฟน ๆ
เขายืนยันให้เราเห็นว่า “ความสมบูรณ์แบบ” ในสายตาคนดู คือผลรวมของวันที่เราเหนื่อยแทบขาดใจแต่ยังเลือกจะซ้อมต่ออีกนิด วันที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาจับบาร์ใหม่อีกที และวันที่ยอมรับอย่างสงบว่า ถึงเวลาต้องปล่อยเวทีนี้ให้คนรุ่นใหม่แล้ว
ในฐานะแฟนกีฬา เราอาจใช้เวลาเชียร์โคเฮอิ ดูยิม ดูบอล หรือกีฬาอื่น ๆ สลับไปมาผ่านจอทีวี มือถือ หรือเว็บสายกีฬา–ความบันเทิง ที่เราคลิกเข้าไปได้ง่าย ๆ อย่าง ยูฟ่าเบท เพื่อเติมสีสันให้ชีวิตในแต่ละวัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง เรื่องราวของโคเฮอิก็เหมือนกระจกบานเล็ก ๆ ที่สะท้อนให้เราเห็นว่า
ต่อให้เราไม่ต้องเป็นแชมป์โลก แค่ตื่นมาพยายามดูแลตัวเอง ทำสิ่งที่รักให้ดีขึ้นทีละนิด ยอมรับวันที่พลาด และยังเชื่อว่าพรุ่งนี้เราจะทำได้ดีกว่าวันนี้อีกหน่อย นั่นก็เป็น “ออลอะราวด์แชมป์เปี้ยน” ในสนามชีวิตของเราเองแล้ว
และบางทีนี่แหละ คือเหตุผลที่ทำให้ ประวัติ โคเฮอิ อุจิมูระ นักกีฬายิมนาสติกระดับตำนาน ไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือประวัติศาสตร์กีฬา แต่ยังอยู่ในใจแฟน ๆ ทั่วโลกไปอีกยาวนาน 💙🤸♂️